ชาดำ (จีน: 黒茶; พินอิน: hēi chá; เฮย์ฉา) เป็นชาจีนแบบหนึ่ง หมายถึงชาที่ทำโดยผ่านกรรมวิธีภายหลังการหมัก ด้วยชวี เป็นเวลานานกว่าหลายเดือน ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดได้แก่ ชาผูเอ่อร์ เป็นต้น
อนึ่ง ในภาษาทางตะวันตกมักเรียกชาดำด้วยคำที่แปลตรงตัวว่า "ชาหมัก" (เช่น fermented tea ในภาษาอังกฤษ) แต่จะใช้คำที่แปลตรงตัวว่า "ชาดำ" (เช่น black tea ในภาษาอังกฤษ) ในการเรียกชาแดง ดังนั้นระวังสับสน
ลักษณะเฉพาะ
สีของใบชาของชาดำจะมีสีน้ำตาลถึงดำ และสีของน้ำที่ได้มักจะเป็นสีส้มเข้มหรือสีแดงเข้มคล้ายกับชาแดง หรือ ชาอูหลง ในจำนวนนั้นยังมีชาฟางเปา (方包茶) ที่มีสีฟ้าอ่อนคล้ายกับชาเขียว และชาฮวาเจวี่ยน (花捲茶) ซึ่งมีลักษณะเป็นรูปวงแหวนเมื่อสกัดออกมา กลิ่นหอมของชาดำจะเรียกว่า "เฉินเซียง" (陳香) โดยกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์นั้นถูกสร้างขึ้นระหว่างกระบวนการทำให้ตกตะกอน
รสชาติของชาดำนั้นมีความโดดเด่นด้วยรสชาติกลมกล่อม มีความฝาดน้อยเมื่อเทียบกับชาชนิดอื่น ๆ เนื่องจากการลดลงของโพลีฟีนอลที่มีความขมและกรดอะมิโนที่มีรสอูมามิ เนื่องจากการเผาผลาญของจุลินทรีย์ในกระบวนการหมักและการเพิ่มขึ้นของน้ำตาลที่ละลายได้
โดยทั่วไปแล้ว ชาจะมีมูลค่าสูงขึ้นเมื่อสดขึ้นและมียอดอ่อนมากขึ้น และเชื่อกันว่ามูลค่าจะลดลงเมื่อเวลาผ่านไป แต่สำหรับชาดำซึ่งทำขึ้นจากการะบวนการหมักนั้นอาจใช้ใบชาที่สุกแล้ว โดยตัดพร้อมกับกิ่งแล้วนำมาผลิตความขมและความฝาดจะยิ่งหายไปเมื่อผลไม้ยิ่งสุก และรสชาติจะยิ่งเพิ่มขึ้น ทำให้ยิ่งเวลาผ่านไปนานจะยิ่งราคาสูงขึ้น
ประเภทและสถานที่ผลิต
โดยทั่วไปชาในจีนจะแบ่งออกเป็นหกประเภท ได้แก่ ชาฟ้า (ชาอูหลง), ชาเขียว, ชาขาว, ชาเหลือง, ชาดำ, และ ชาแดง ขึ้นอยู่กับวิธีการผลิต[3] ในจำนวนนั้น ชาดำและชาแดงเป็นชาหมัก แต่วิธีการหมักนั้นแตกต่างกัน รูปร่างของชาดำสามารถแบ่งออกอย่างกว้าง ๆ ได้เป็น 2 ประเภท คือ ซ่านฉา (散茶) คือนำใบชามาทำเป็นผงทั้ง ๆ อย่างนั้นเลย และ จิ่นยาฉา (緊壓茶) หรือ ชาอัด คือใบชาที่ถูกบีบอัดให้แข็งเป็นก้อนก่อนนำไปหมัก
จีน
ชาผูเอ่อร์ ในสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน มีชื่อเสียงที่สุดในหมู่ชาดำและมีหลากหลายสายพันธุ์ "ผูเอ่อร์" ตั้งตามชื่อสถานที่ของศูนย์กลางการผลิต
ชาลิ่วเป่า (六堡茶) ในตำบลลิ่วเป่า เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง หมักในอุโมงค์ร้อนและชื้น
ชาถางจวาน (唐磚茶) ในมณฑลเสฉวน
ชานอกจากนี้ยังมี ชาฝูจวาน (茯磚茶) ในมณฑลหูหนาน
ที่ภาคเหนือของไทยและภาคเหนือของพม่า
ใบเมี่ยง หรือ ละแพะ เป็นชาที่ผ่านกระบวนการหมัก นำมาใช้รับประทานหรือเคี้ยวเล่นได้
มีการผลิตชาดำจำนวนเล็กน้อยในญี่ปุ่น โดยมีเกาะชิโกกุ เป็นพื้นที่ผลิตหลัก
ในจังหวัดโทกูชิมะ มีชาที่เรียกว่า อาวะบันจะ
(阿波晩茶) เป็นชาดำ แม้จะมีคำว่า "บันจะ" แต่วิธีการผลิตแตกต่างจากบันจะ ซึ่งเป็นชาเขียวอย่างสิ้นเชิง
ในจังหวัดโคจิ มีการผลิตชาที่เรียกว่า โกอิชิจะ
(碁石茶) ซึ่งมีรูปร่างเหมือนเม็ดโกะ อย่างไรก็ตาม ไม่ค่อยมีใครดื่มในท้องถิ่นและถูกส่งไปเป็นส่วนผสมสำหรับ จากายุ ที่ผลิตบนเกาะในทะเลในเซโตะ เป็นสินค้าหายากและเกือบจะสงวนไว้สำหรับการผลิตเท่านั้น ใน ศตวรรษที่ 18 เส้นทางซังกิงโกไต ของแคว้นโทซะได้มีขบวนของขุนนางเคลื่อนผ่านอิโยะ และ ซานูกิ ซื้อสิทธิ์การขายและเริ่มขายภายใต้ชื่อนิโอจะ (仁尾茶) รอบทะเลเซโตะ ในช่วงกลางของยุคใหม่ตอนต้น พ่อค้านิโอะ 18 คนจึงเริ่มขายโกอิชิจะ[7] .
ในจังหวัดเอฮิเมะ มีการผลิต ชาดำอิชิซูจิ (石鎚黒茶)
ในเมืองอาซาฮิ จังหวัดโทยามะ มีการผลิดบาตาบาตาจะ (バタバタ茶) ผลิตโดยใช้กรรมวิธีการผลิตจากจังหวัดฟูกูอิ และดื่มกันทางตอนเหนือของจังหวัดโทยามะไปจนถึงภูมิภาคอิโตอิกาวะของจังหวัดนีงาตะ ไม่มีการผลิตในจังหวัดฟุกุอิแล้ว